หมวดหมู่: บริษัทจดทะเบียน

OIL50


TOP เผย Q3/61 กำไรเหลือ 4.56 พันลบ.ลดลง 40% หลังค่าการกลั่นอ่อนตัว

     บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อย ไตรมาสที่ 3/61 มีกำไรสุทธิ 4,558.35 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7,605.43 ล้านบาท งวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 14,960.99 ล้านบาท เที่ยบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 17,929.47 ล้านบาท

      เมื่อเทียบกับ Q3/61 กับ Q3/60 กลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 20,965 ล้านบาท จากราคาขายเฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้นมากตามราคาน้ำมันดิบโดยมีปริมาณจำหน่ายผลิตภัณฑ์โดยรวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

      อย่างไรก็ตาม กลุ่มไทยออยล์มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันลดลง 3.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล สาเหตุหลักจากค่าการกลั่นที่ปรับตัวลดลงหลังได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบและ Crude Premium ที่ปรับเพิ่มขึ้นมาก ประกอบกับส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินกับราคาน้ำมันดิบที่ลดลง เนื่องจากอุปทานน้ำมันเบนซินล้นตลาด รวมทั้งส่วนต่างราคาน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานกับน้ำมันเตาได้ปรับตัวลดลงเช่นกัน

    ทั้งนี้ กลุ่มไทยออยล์มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันลดลง 1.1 เหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นจำนวน 1,090 ล้านบาท ดังนั้นกลุ่มไทยออยล์จึงมีกำไรขัน้ ต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันลดลง 4.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่มีผลขาดทุนจากอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยงสุทธิเพิ่มขึ้น 120 ล้านบาท จึงส่งผลให้ EBITDA ลดลง 3,859 ล้านบาท และกำไรสุทธิลดลง 3,047 ล้านบาทจาก Q3/60

     ในช่วง Q4/61 ราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก Q3/61 โดยได้รับแรงหนุนจากปริมาณการผลิตและส่งออกน้ำมันดิบของอิหร่านที่ปรับตัวลดลง หลังมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐฯ จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตัง้ แต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2561 ส่งผลให้ผู้นำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านลดการนำเข้าจากอิหร่านลง นอกจากนี้ ประมาณการปริมาณการผลิตจากเวเนซุเอลาจะปรับลดลงอย่างต่อเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศ ส่งผลให้ไม่มีการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบยังคงได้รับแรงกดดันจากปริมาณการผลิตของสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 11.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ภายในสิ้นปี 2561 ประกอบกับผู้ผลิตในกลุ่มโอเปกได้เพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง หลังได้ตกลงปรับเพิ่มกำลังการผลิตในเดือนมิถุนายน 2561 ที่ผ่านมาเพื่อรองรับอุปทานที่หายไปจากอิหร่านและเวเนซุเอลา

        ในปี 2562 ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์น้ำมันดิบที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นราว 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวันจากปีก่อนหน้าตามเศรษฐกิจโลกที่ยังคงขยายตัวกว่าร้อยละ 3.7 จากปีก่อนหน้า ประกอบกับอุปทานน้ำมันดิบจากประเทศอิหร่านและเวเนซุเอลาที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะได้รับแรงกดดันจากการเติบโตของอุปทานในสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2561 ประมาณ 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน สู่ระดับ 11.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน หลังราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเหนือระดับคุ้มทุนสำหรับการผลิตน้ำมันดิบจากชัน้ หินดินดาน (Shale Oil) ขณะที่คาดว่าผู้ผลิตในกลุ่มโอเปกจะปรับเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับอุปทานที่หายไปจากอิหร่านและเวเนซุเอลา นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่ามากขึ้นจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกว่า 3 ครัง้ ในปี 2562 ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบ (แหล่งที่มา: IEA Oil Monthly Report และ EIA Shortterm Energy Outlook, เดือนตุลาคม 2561)

       แผนการลงทุนโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP) ซึ่งโครงการมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 4,825 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยโครงการดังกล่าวได้รับอนุมัติแล้วจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2561 ทัง้ นี้ คาดว่าการก่อสร้างจะเริ่มในเดือนพฤษภาคม 2562 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1 ปี 2566 โดยเป็นไปตามแผนการดำเนินงานโครงการ CFP

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!