หมวดหมู่: บทวิเคราะห์
DBS
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
 
“บวกจากคาด ECB ลดดอกเบี้ย วันนี้รัฐแถลงนโยบาย”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ASIAN (จากซื้อเป็น Fully Valued)
ภาวะตลาดและปัจจัย : SET วานนี้ +0.57 จุด ปิดที่ 1725.44 จุด มูลค่าการการซื้อขายเบาบางลงที่ 52.8 พันล้านบาท ดัชนีฯแกว่งแคบๆคล้ายกับเพื่อนบ้าน รอติดตามผลประชุม ECB และแถลงนโยบายรัฐบาลใหม่ ผู้ซื้อสุทธิคือ รายย่อย ต่างชาติ และสถาบัน ขายสุทธิรายเดียวเป็นโบรกเกอร์ และตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันต่างชาติเป็นซื้อสุทธิ 63.4 พันล้านบาท ด้านแนวโน้มตลาดและกลยุทธ์วันนี้คือ
# ปัจจัยสำคัญ: ติดตาม หลายเหตุการณ์ แถลงนโยบายรัฐบาลใหม่ไทยและประชุม ECB วันนี้ ซึ่งส่วนใหญ่คาดกันว่าจะลดดอกเบี้ย 0.1% ส่วนการเจรจาการค้าสหรัฐบินไปพบจีนเป็นช่วงเดียวกับการประชุมเฟด 30-31 ก.ค.62 ซึ่งมีแนวโน้มออกมาดี หุ้นกลุ่มชิพสหรัฐปรับขึ้นดี หลังบริษัทประกาศงบสูงเกินคาด ดัชนีความกังวลลดเป็น 12.07 จุด เช้านี้ตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน ดาวโจนส์-น้ำมันล่วงหน้าปรับดีขึ้น ด้านปัจจัยลบคือ IMF ปรับลด GDP โลกอีกครั้ง รวมทั้งเงินบาททรงตัวในลักษณะอ่อนค่า และอัตราผลตอบพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ปรับขึ้น มีเงินไหลออก
# ระยะสั้นคาด SET มีโอกาส Sideways กลยุทธ์ คือ การเก็งกำไร เข้าไว-ออกไว วันนี้ดูดีจาก ECB อาจลดดอกเบี้ย แนวต้านเป็น 1730-1740 จุด แนวรับที่ 1710-1700 จุด สำหรับการลงทุนทยอยซื้อสะสม เป้าหมายดัชนีระยะยาวเป็น 1750 จุด ด้วย P/E ที่ 17.4 เท่า (Median+1 SD) วันนี้ติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แถลงนโยบายวันนี้ มีทั้งบวกและลบ แต่กลุ่มหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แนะนำ ซื้อเก็งกำไรดังนี้ พาณิชย์- CPALL,BJC รับเหมาก่อสร้าง- CK, STEC,SEAFCO นิคมฯ-AMATA, ROJNA, WHA ท่องเที่ยว- MINT ขนส่ง AOT สื่อสาร- ADVANC ไฟแนนซ์- KKP, MTC, TISCO,TCAP และสื่อ- VGI
# Stock Pick Today : JKN แม้ 2Q62 แนวโน้มกำไรแค่ทรงตัว y-o-y ที่ 68 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายบุคลากรที่ต่างประเทศสูง แต่ข้อดีคือ ค่าตัดจำหน่ายใน 2H62 มีแนวโน้มจะลดลง หลังจากบันทึกไปมากแล้วใน 1H62 ในส่วนการซื้อลิขสิทธิ์หนัง เราจึงคาดว่ากำไรจะแข็งแกร่งตั้งแต่ 3Q62 เป็นต้นไป ด้านแรงสนับสนุนมาจากอัตราการเติบโตของยอดขายในตลาดต่างประเทศ ถือว่ายังเป็น Blue Ocean และมีลิขสิทธิ์ CNBC ไปลงจอทีวีดิจิตัลจะช่วยเสริมกำไรในอนาคต คงคำแนะนำ ซื้อราคาพื้นฐานเป็น 12.30 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 62 ที่ 20 เท่า
 
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators ยังไม่บวก {แม้“ปิดบวก”ก็เล็กน้อย แต่อยู่ใต้“SMA10วัน” (โดยยังถูกกดดันจาก“สภาวะOverbought”(เดิม)ที่มีระดับนัยสำคัญ และ“โครงสร้างขาลง – ระยะกลาง”)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯวันนี้“แกว่งลง”เป็นหลัก แต่“ค่าบวก”(ถ้ามี) จะทำให้มีรีบาวด์ฯสั้นๆก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1730 (หรือ 1740) จุด {แนวตัดขาดทุน “ต่ำกว่า 1720” (แนวรับย่อย “1710 / 1700” จุด)}
สำหรับหุ้นที่มีโอกาสทำ New High เข้ามาใหม่คือ BAY,SRICHA,DTAC,OSP,STA,GFPT หุ้นที่ยังอยู่ในลิสต์ คือ RJH,COM7,TOP,PTTEP,PPPM,TVO,LPH หุ้นที่หลุดลิสต์ คือ GUNKUL,TCMC หุ้นที่ควร Take Profit คือ RPH 
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
 
 
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Economic Focus : ลุ้นส่งออกครึ่งปีหลังกระเตื้องขึ้น
Company Guide : ASIAN (Fully Valued -ราคาพื้นฐาน 6.20)
CHG (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 2.70)
Turnover List Watch : คาด DOD-W1 ติด Cash Balance
Special Issue : ระมัดระวังใกล้ซื้อขายวันสุดท้ายหุ้น SP
 
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ประชุม ECB วันนี้: ส่วนใหญ่คาดปรับลดดอกเบี้ย 0.10%
# นักลงทุนคาดการณ์ว่า มีแนวโน้ม 54% ที่ ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.10% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันนี้ หลังการเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของยูโรโซน ปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน
 
- IMF: ปรับลดประมาณการ GDP โลก ลดลงอีกครั้ง
# กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ลงสู่ระดับ 3.2%จากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 3.3% และคาดว่าเศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะขยายตัว 3.5% ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 3.6%
 
+ สหรัฐ: หุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิพพุ่งขึ้น หลังเท็กซัส อินสตรูเมนท์ ประกาศงบดีเกินคาด
# หุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิพดีดตัวขึ้น ซึ่งช่วยหนุนดัชนี Nasdaq และ S&P500 ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากบริษัทเท็กซัส อินสตรูเมนท์ เปิดเผยกำไรในไตรมาส 2 ที่ระดับ 1.36 ดอลลาร์/หุ้น ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 1.22 ดอลลาร์/หุ้น นอกจากนี้ เท็กซัส อินสตรูเมนท์ ยังได้แสดงมุมมองเป็นบวกว่า การชะลอตัวของอุปสงค์ไมโครชิพในตลาดโลกนั้น จะไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาที่ยาวนาน
 
+/- สหรัฐ: ตัวเลขเศรษฐกิจออกมา Mix มีทั้งบวกและลบ
# สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ค่อนข้างผันผวน โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 7% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 646,000 ยูนิต ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ายอดขายบ้านใหม่จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 660,000 ยูนิตในเดือนมิ.ย.
# ทางด้านไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต และภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 51.6 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือนหลังจากแตะระดับ 51.5 ในเดือนมิ.ย.
 
- ดาวโจนส์: ปรับลง นักลงทุนผิดหวังผลประกอบการ แต่ S&P และ Nasdaq ปรับขึ้นสวนทาง
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,269.97 จุด ลดลง 79.22 จุด หรือ -0.29% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่3,019.56 จุด เพิ่มขึ้น 14.09 จุด หรือ +0.47% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,321.50 จุด เพิ่มขึ้น 70.10 จุด หรือ +0.85%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (24 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังผลประกอบการของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างโบอิ้ง และแคทเธอร์พิลลาร์ รวมทั้งข้อมูลเศรษฐกิจที่ผันผวนของสหรัฐ อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq และ S&P500ดีดตัวขึ้นปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้ปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิพที่พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจากเท็กซัสอินสตรูเมนท์ ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของสหรัฐเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด
 
- น้ำมัน: ปรับลง กังวลอุปสงค์โลก หลัง IMF ปรับลด GDP
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 89 เซนต์ หรือ 1.6% ปิดที่ 55.88 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 65 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 63.18 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (24 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน โดยความวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าวได้บดบังปัจจัยบวกจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 6
 
• ทองคำ: ปรับขึ้น หลังคาดการณ์ ECB และเฟดปรับลดดอกเบี้ย
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 1.9 ดอลลาร์ หรือ 0.13% ปิดที่1,423.6 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (24 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์นี้
 
• ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตามสัปดาห์นี้
# นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์,ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนมิ.ย. และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2562
 
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
+ ธปท. : ธปท.และสถาบันการเงินต่างๆ กำลังขับเคลื่อนแนวคิดการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน
# นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธปท. ระบุว่าปัจจุบันโลกกำลังให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน และความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ธุรกิจไทยไม่น้อยที่เริ่มขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม ในขณะที่ภาคการเงินนั้น ธปท.และสถาบันการเงินต่างๆ กำลังขับเคลื่อนแนวคิดการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการยกระดับธรรมาภิบาลองค์กร และธรรมาภิบาลในความหมายกว้าง สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง คำนึงถึงความเสี่ยงรอบด้าน ดำเนินธุรกิจที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค สนับสนุนการทำธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และไม่สนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชั่น หรือมีผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมทั้งให้ความสำคัญมากขึ้นกับการปล่อยสินเชื่อด้วยความรับผิดชอบ
# ผลกระทบ: การลงทุน LTF ใหม่ในปีหน้า หลังจากตัวเก่าจะหมดอายุลงในปีนี้ ก็จะเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทนี้ได้แก่หลักทรัพย์ในดัชนี SETTHSI รวมทั้งการลงทุนในกองทุนสาธารณูปโภค (IFFs) จึงทำให้หลักทรัพย์ที่มีคุณสมบัติเหล่านี้จะกลับมาโดดเด่นได้
 
-หนี้ครัวเรือน: ธปท.เห็นว่าคนไทยเริ่มเป็นหนี้ในวัยที่เร็วขึ้น ระยะเวลานานขึ้น และมูลค่าหนี้มากขึ้นผู้ว่าฯ ธปท. ยังกล่าวถึงสถานการณ์หนี้ครัวเรือนในประเทศว่า คนไทยเริ่มเป็นหนี้ในวัยที่เร็วขึ้น ระยะเวลานานขึ้น และมูลค่าหนี้มากขึ้น โดยคนไทยจำนวนมากยังติดกับดักหนี้ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีระดับหนี้ครัวเรือนสูงเป็นลำดับต้นๆ ของโลกเมื่อเทียบกับประเทศที่ระดับการพัฒนาใกล้เคียงกัน โดยประเทศไทยมีหนี้ครัวเรือนในระดับ 78.7% ของจีดีพี และยังไม่ลดลง ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากภาคธุรกิจกระตุ้นให้เกิดการซื้อของที่ฟุ่มเฟือย หรือก่อหนี้จนเกินความจำเป็น
# ผลกระทบ: สิ่งที่ต้องติดตามคือ หากในที่สุด ธปท.ออกเกณฑ์สัดส่วนเงินผ่อนชำระเทียบกับรายได้ (NSR: Net ServiceRatio) เพื่อลดปัญหาหนี้ครัวเรือน ก็จะกระทบด้านกำลังซื้อให้น้อยลง กลุ่มหลักทรัพย์ที่เกี่ยวกับการบริโภคจะได้รับผลลบทันที เช่น พาณิชย์ อสังหาฯ เช่าซื้อ และธนาคาร เป็นต้น
 
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
 

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!